วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เห็ดโคนการเพาะเห็ดโคนในตะกร้า

เห็ดโคนการเพาะเห็ดโคนในตะกร้า
เห็ดโคนน้อย มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามวัสดุเพาะ เช่น เห็ดถั่ว เห็ดถั่วเหลือง เห็ดถั่วเน่า เห็ดโคนน้อย เห็ดโคนบ้าน เห็ดโคนขาว (ภาคเหนือ) เห็ดคราม เห็ดปลวกน้อย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เห็ดโคนเพาะ เห็ดโคนน้อย เห็ดหมึก (ภาคกลาง) เป็นเห็ดที่ขึ้นง่าย เห็ดชนิดนี้มีคุณค่าทางอาหารสูง มีสรรพคุณทางสมุนไพร ช่วยในการย่อยอาหารและลดเสมหะ
เห็ดโคนน้อย สามารถที่จะใช้วัสดุเพาะอื่นๆ เพาะได้อีกมากไม่ว่าจะเป็นต้นและใบถั่วต่างๆ ต้นข้าวโพด ทะลายปาล์มน้ำมัน ผักตบชวา ต้นและใบกล้วย ซึ่งสามารถที่จะนำมาเป็นวัสดุเพาะได้ทั้งสิ้น

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สูตรมะยมดอง

มะยมใช้รับประทานเป็นผลไม้สดและแปรรูป เช่น แช่อิ่ม ดอง น้ำมะยม แยม หรือกวน ใช้ทำส้มตำ ยอดอ่อนรับประทานเป็นผักสด กินกับน้ำพริก ลาบส้มตำ ขนมจีน ในฟิลิปปินส์ใช้ทำน้ำส้มสายชู หรือกินดิบหรือดองในเกลือและน้ำส้มสายชู ในมาเลเซียนิยมนำไปเชื่อม ในอินเดียและอินโดนีเซียนิยมนำใบมะยมไปประกอบอาหาร

กะหล่ำ Brussels Sprout

กะหล่ำ Brussels Sprout

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

หญ้าหวาน (Stevia)




หญ้าหวาน (Stevia) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ตามแนวพรมแดนระหว่างประเทศบราซิลและปารากวัย ซึ่งชาวปารากวัยมีการใช้ใบหญ้าหวานผสมกับชาดื่มมานานกว่า 1,500 ปีแล้ว
เป็นสารแทนความหวานที่ดีที่สุดและมาจากธรรมชาติ ความหวานที่ได้มากกว่าน้ำตาลทราย 250 – 300 เท่า แต่จะไม่ถูกย่อยให้เกิดพลังงานจึงทำให้มีพลังงานน้อยมาก 

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

กล้วยไม้รุ่น เขากวางแดง ฉัตรดา ชิเนนทร

กล้วยไม้รุ่น เขากวางแดง ฉัตรดา ชิเนนทร

ไม้รุ่น เขากวางแดง ฉัตรดา ชิเนนทร ชุดนี้เป็นกล้วยไม้รุ่นอีกชุดที่ทยอยให้ดอกกันแล้วครับ ชุดนี้คัดต้นสวย ๆ แดง ๆ แบ่งจำหน่ายโดยเฉพาะครับ รับประกันว่าแดงทุกต้นร้อยเปอร์เซ็น สำหรับ เขากวางแดง ฉัตรดา ชิเนนทร นั้น เป็นที่ยอมรับจากนักกล้วยไม้อเมริกัน ซึ่งได้รับการการันตีย์โดย ดร. เดวิด แอล โกฟ ท่านเป็นนักกล้วยไม้ของ สมาคมกล้วยไม้ AOS เขากวางแดง ที่ถูกค้นพบครั้งแรกนั้น ได้ชื่อมาจากเจ้าของที่พบในครานั้นคือคุณ ฉัตรดา และห่างหายไปนานนับสิบปีก็มีการค้นพบ เขากวางแดง อีกต้น ซึ่งอยู่ที่คุณชิเนนทรนั่นเองครับ คุณชิเนนทรได้นำ เขากวางแดง ต้น ฉัตรดา และ ต้น ชิเนนทร ผสมเข้าด้วยกัน และกลายมาเป็น เขากวางแดง ฟอร์มสวย ๆ ที่เห็นในเว็บของเรานี้แหละครับ ลูกของต้น ฉัตรดา และ ต้นชิเนนทร ได้รับการยกย่องว่า เป็น เขากวางแดง พันธุ์แท้ ซึ่งหมายถึง ไม่มีต้นไดเลยหลุดออกมาเป็นเขากวางลายเหมือนเขากวางป่า ทุกต้นแดงหมด บางต้นก็แดงจนดำทึบไปเลยก็มีครับ และชุดที่จำหน่ายอยู่นี้ก็เป็น ลูก ๆ จากต้นสวย ๆ ที่ คัดฟอร์มมาผสมอีกครั้งครับ ท่านไดชอบ เขากวางแดง พันธุ์แท้ จากต้นตำรับแท้ ๆ อย่าพลาดเชียวนะครับ 

กล้วยไม้ (Orchid) เอื้องสายล่องแล่ง

กล้วยไม้ (Orchid)


เอื้องสายล่องแล่ง หรือเอื้องสายเชียงใหม่ หรือที่บางถิ่นเรียกเอื้องสายไหม กล้วยไม้ที่มีชื่อเรียกหลายชื่อนี้ เป็นกล้วยไม้ไทยดอกสวยมีกลิ่นหอมอ่อนที่เลี้ยงง่ายมาก เป็นกล้วยไม้ทนสภาพอากาศร้อนได้ดี ออกดอกง่ายดอกพรูดกสวยครับ ดอกออกตามข้อ ดอกสีชมพูอ่อน กลีบปากเป็นแผ่นใหญ่สีขาวครีม ฤดูดอกช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ยืดอายุดอกไม้ปักแจกันให้ใช้งานได้นานขึ้นด้วยเหรียญสตางค์

ยืดอายุดอกไม้ปักแจกันให้ใช้งานได้นานขึ้นด้วยเหรียญสตางค์
การจัดดอกไม้ต่าง ๆ ใส่ในแจกันนั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่เพิ่มความสวยงามให้กับบ้านเรือน หรือสถานที่ทำงาน ให้ดูสดชื่นดูสบายตา ซึ่งส่วนใหญ่ดอกไม้ที่นำมาจัดในแจกันจะแสดงอาการเริ่มเฉาประมาณวันที่ 3 ของการจัดดอกไม้ ทำให้ต้องเปลี่ยนดอกไม้บ่อย ๆ และเสียเวลาเสียเงินเพิ่มขึ้น
วันนี้มีวิธียืดอายุดอกไม้ปักแจกัน ให้มีอายุการใช้่งานได้นานขึ้น จากคำแนะนำของคุณนภา บัวสว่าง แม่ค้าขายดอกไม้หลังตลาดสดเทศบาลเมืองชุมพร มีดังนี้ 

1.เมื่อซื้อดอกไม้ที่ชื่นชอบมาแล้ว ให้ปลิดใบออกบ้าง แล้วใช้มีดตัดปลายดอกไม้ตามความยาวที่ต้องการจัดแต่ให้ตัดเฉียงเพื่อจะได้รับน้ำได้เป็นอย่างดี

2.นำน้ำใส่แจกันครึ่งหนึ่ง ใส่น้ำตาลทรายแดงเล็กน้อย และให้หาเหรียญสลึงหรือเหรียญห้าสิบสตางค์ประมาณ 2-3 เหรียญ ใส่ลงไปในแจกัน เพียงเท่านี้ดอกไม้ในแจกันของคุณจะคงความสดอยู่ได้นานเป็นอาทิตย์

หมายเหตุ : เหรียญที่เคยใช้แล้วจากการแช่ดอกไม้ในแจกันไม่ควรนำกลับมาใช้ในครั้งต่อไป

การาปลูกผักบุ้งจีนใบไผ่ ปลูกแบบปลอดสารพิษได้ง่ายๆ รายได้ดี

การาปลูกผักบุ้งจีนใบไผ่ ปลูกแบบปลอดสารพิษได้ง่ายๆ รายได้ดี
ผักบุ้งจีน กลายเป็ผพืชผักที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวไทยมาช้านาน เนื่องจากมีลำต้น อวบ ตรงใหญ่ มีสีสันน่าทาน ทั้งยังเป็นพืชที่เพาะปลูกง่าย ขายได้ตลอดทั้งปี ซึ่งสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคและผู้ปลูกมาที่สุดก็คือ ผักบุ้งจีนใบไผ่ ที่มีลักษณะใบเรียวเล็กเหมือนใบไผ่ ไม่มีแขนง ข้อปล้องยาว ลำต้นตรง นอกจากผักบุ้งพันธุ์นี้จะมีลักษณะน่ารับประทานแล้ว ยังเป็นพันธุ์ที่ปลูกขายได้ราคาดีอีกด้วย ซึ่งเกษตรกรผู้ปลูกยืนยันว่าสามารถขายได้ 15-20 บาท / กก. เลยทีเดียว
ผักบุ้งจีนใบไผ่นั้นสามารถปลูกได้ทั้งบนบกและในน้ำและสามารถปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด ดินที่เหมาะสมในการปลูกผักบุ้งเพื่อการบริโภคสด จะเป็นดินร่วน หรือดินร่วนปนทราย ผักบุ้งชอบชื้นแฉะ ต้องการความชื้นในดินสูงมากอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตอยู่ในช่วงที่สูงกว่า 25 องศาเซลเชียส ต้องการแสงแดดเต็มที ซึ่งประเทศไทยสามารถปลูกได้ดีตลอดไป โดยมีวิธีปลูกง่ายๆ คือเตรียมแปลงโดยการไถดะและ ไถแปรให้เรียบร้อย และทำการตากแดดทิ้งไว้ เพื่อกำจัดโรคแมลงพร้อมใส่ปุ๋ยคอก ปลูกแบบได้ทั้งแบบหว่านเมล็ด และแบบแยกหน่อ



การเตรียมแปลง : 

1. ไถและเตรียมดินที่จะปลูกให้สมบูรณ์ วัดความเป็นกรด-ด่างในดินให้มีค่า PH อยู่ที่5 -7 ถ้าไม่ได้ให้ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักใส่ผสมลงไปอัตรา 1 - 2 ตันต่อไร่ จากนั้นตากดินไว้ 7 วัน 

2. ปรับไถดินด้วยรถไถคราดเศษวัชพืชออกให้ดินร่วนซุย ยกร่องเป็นแปลงปลูก ขนาด 50 ตารางวา (กว้าง 4 x 48 เมตร) ใช้เมล็ดพันธุ์ 4 - 5 กิโลกรัม

การเตรียมเมล็ด : 

1. นำเมล็ดแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน (ถ้าต้องการให้งอกเร็วให้ต้มน้ำให้เดือดนำไปผสมกับน้ำให้อุณหภูมิอยู่ที่ 40 องศาเซลเซียส นำเมล็ดแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน) 

2. บ่มเมล็ดโดยห่อเมล็ดด้วยผ้าขาวบาง ทิ้งไว้ให้เปลือกของเมล็ดหลุดออก จากนั้นจึงนำไปหว่านในแปลงที่เตรียมไว้ เสร็จแล้วนำฟางหรือใบอ้อยหรือแกลบผสมปุ๋ยคอกมาคลุมปิดด้านบนเพื่อช่วยเก็บความชื้น

หญ้าฮี๋ยุ่ม สมุนไพรกระชับช่องคลอด คืนความสาวกลับมาอีกครั้ง

หญ้าฮี๋ยุ่ม สมุนไพรกระชับช่องคลอด คืนความสาวกลับมาอีกครั้ง
 เป็นที่ฮือฮากันยกใหญ่เมื่อมีการเปิดตัว หญ้าฮี๋ยุ่ม” หรือหญ้ารีแพร์ ที่ช่วยคืนความสาวให้กับคุณผู้หญิง เพียงนำหญ้าฮี๋ยุ่มมาตากแห้งแล้วเผาตั้งไว้ใต้เก้าอี้ จากนั้นนุ่มผ้าถุงนั่งรมควันสักประมาณครึ่งชั่วโมงหรือจนกว่าควันจะหมด ภายใน 2-5 วัน จะช่วยกระชับช่องคลอดสำหรับคุณผู้หญิงที่ผ่านการมีบุตรแล้วให้กลับมามีความฟิตกระชับ เต่งตึงขึ้น ทั้งนี้ ยังสามารถนำหญ้าฮี๋ยุ่มมาต้มรับประทานเพื่อผิวพรรณที่กระชับ ดูสาวขึ้นได้อีกด้วย โดยหลังจากนี้จะมีการทำวิจัยต่อยอดถึงประโยชน์จากหญ้าฮี๋ยุ่มต่อไป
            โดยเว็บไซต์ข่าวไทยรัฐออนไลน์ ได้รายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 11” ภายใต้แนวคิดการแพทย์แผนไทย หัวใจการดูแลสุขภาพ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 3-7 ก.ย.นี้ ที่ฮอลล์ 6-8 อิมแพค เมืองทองธานี ว่าภายในงานจะมีการจัดนิทรรศการต่างๆมากมาย โดยเฉพาะตำรับสำหรับผู้หญิง เช่น เปิดตำรับลับสุดยอด, ภูมิปัญญาไทยหญ้ารีแพร์หรือหญ้าฮี๋ยุ่ม คืนความสาวให้สาวทันใจ, จีผาแตก ไม่แปลกที่หงส์เหนือมังกร, แม่ฮ้าง 32 ผัว, พลังหญิงที่ชายกริ่งเกรง และการทำยาสมุนไพรดูแลแม่หญิง เป็นต้น


            ขณะที่เภสัชกรหญิงผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกรชำนาญการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวถึงหญ้ารีแพร์หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าหญ้าฮียุ่ม ว่าหญ้าดังกล่าวเป็นหญ้าที่มีสรรพคุณช่วยในการกระชับช่องคลอด ไม่ว่าจะเป็นช่องคลอดของหญิงหลังคลอด หรือในหญิงที่มีปัญหาช่องคลอดหย่อนยานไม่กระชับก็สามารถใช้หญ้าดังกล่าวช่วยคืนสภาพให้ช่องคลอดกลับมามีความกระชับเหมือนวัยแรกสาวอีกครั้ง

วิธีการใช้หญ้าฮี๋ยุ่ม
            วิธีการทำให้ช่องคลอดกลับมากระชับเหมือนเดิม ทำได้ด้วยการนำหญ้าฮี๋ยุ่มไปตากแดดให้แห้ง จากนั้นนำหญ้าประมาณหนึ่งกำมือมาเผาร่วมกับไม้ผุหรือถ่านจนเกิดควัน แล้วนำหญ้าที่เผาจนเกิดควันมาวางไว้ใต้เก้าอี้ที่ผ่านการเจาะรูเป็นวงกลม หลังจากนั้นให้คุณผู้หญิงที่ผ่านการคลอดบุตรหรือที่ต้องการยกกระชับช่องคลอดและมดลูก มานั่งลงบนเก้าอี้เพื่อรมควันกระชับช่องคลอด ระยะเวลาในการรมก็ให้รมจนกว่าควันจะหมด ทั้งนี้ ในการรมควันจะทำติดต่อกันประมาณ 2-5 วัน แล้วแต่กรณี  นอกจากนี้ หญ้าฮี๋ยุ่มยังสามารถนำมาต้มรับประทานเพื่อให้ผิวพรรณกระชับ ช่วยทำให้บาดแผลเกิดการกระชับเร็วขึ้นอีกด้วย ซึ่งหญ้าดังกล่าวมีการใช้มานานกว่า 30 ปีแล้ว

ฟักแม้วปลูกอย่างไรให้อวบอ้วนน่าทาน ได้น้ำหนักดี

ฟักแม้วปลูกอย่างไรให้อวบอ้วนน่าทาน ได้น้ำหนักดี
หากใครสนใจอยากจะทำการปลูกฟักแม้วหรือชาโยเต้ ก่อนอื่นจะต้องมีพื้นที่ที่จะปลูกก็ต้องสูงกว่าระดับน้ำทะเล 500 – 700 เมตร ถึงจะสามารถปลูกได้ เมื่อปลูกแล้วต้องมั่นดูแลรักษาด้วยการให้ปุ๋ย รดน้ำ และดูแลอยู่เสมอถึงจะได้ผลผลิตออกมาได้ตลอดและสามารถเก็บขายได้หลายปี

วันนี้ทางทีมงานได้เทคนิคทำยอดฟักแม้วให้ออกยอดอวบได้น้ำหนัก น่ารับประทาน ของเกษตรกรอย่างคุณสมทรง กฐินสด ผู้ทำเกษตรทฤษฎีใหม่ หมู่บ้านหนองบง อยู่บ้านเลขที่ 113 ม.4 ต.หนองบัว อ.ภูเรือ จ.เลย ได้แนะนำวิธีการปลูกฟักแม้วสำหรับเกษตรกรที่ปลูกเพื่อเก็บยอดขายให้กับตลาด ทำให้ยอดอวบ ลำใหญ่ น่ารับประทาน ด้วยวิธีการดังนี้



1.วิธีการปลูกแบบเก็บยอด จะต้องปลูกเป็นแถวยาว แต่ละหลุมมีความห่างกันประมาณ 1x1 เมตร ปลูกเป็นหลุมๆเรียงเป็นแถวติดต่อกันไป ความยาวตามสภาพของพื้นที่ 

2.ให้ทำค้างด้วยการใช้ตาข่ายกั้นเป็นแผงด้านหลัง คล้ายกับการปลูกถั่วฝักยาวซึ่งส่วนใหญ่จึงทำค้างลักษณะทรงสามเหลี่ยม เพื่อให้ยอดเกาะกิ่งไม้ขึ้นไป เพื่อจะได้สะดวกในการเก็บยอด 

3.เมื่อต้นของฟักแม้วแทงยอดออกมาสูงยาวได้ 1 เมตรแล้ว ให้ทำการเด็ดยอดที่แทงออกมาทุกยอดตัดออกไปอีก 30 ซม. จะสามารถช่วยเร่งทำให้เกิดยอดใหม่แทงออกมาและมีลำก้านอวบใหญ่ สวยงาม ขายได้ราคาอีกด้วย

----------- ^ ^ -------------
ที่มา:
ศูนย์ทางด่วนขอมูลทางการเกษตร*1677
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.ขอนแก่น

ชมจันทร์ ไม้เลื้อยดอกหอม กินได้

มจันทร์ ไม้เลื้อยดอกหอม กินได้
การเพาะเมล็ดดอกชมจันทร์ โดยใช้ทรายหรือแกลบเผา
1.แช่น้ำให้เม็ดพองน้ำ 1 คืน
2. นำไปวางเรียงในกระถางทรายหรือแกลบดำที่รดน้ำจนอิ่มตัว
3.กลบทับด้วยทรายหรือแกลบดำบาง ๆ
4.ปิดทับด้วยหนังสือพิมพ์ รดด้วยน้ำ
5.เปิดดูถ้ามีรากงอกก็เก็บไปชำในถุงดำ ถุงละ 3-4 ต้น


วิธีเก็บเมล็ด


ดอกจะค่อยๆทยอยบาน  วันละดอก ใน 1 กิ่ง  

การปลูกมะม่วง ปลูอย่างไรให้ได้ผลเร็ว

การปลูกมะม่วง ปลูอย่างไรให้ได้ผลเร็ว
มะม่วงเป็นพืชที่ปลูกเพื่อรับประทานผล และผลที่ได้นั้น สามารถรับประทานได้ทั้งดิบและสุก มะม่วงสามารถปลูก และผลิดอกออกผลได้ดีในพื้นที่ทุกจังหวัด และทุกภาคของประเทศ แต่จะให้ผลแตกต่างกันไปตามสภาพของท้องที่ มะม่วงหลายพันธุ์ยังเป็นผลไม้ที่ตลาดต่างประเทศต้องการอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การปลูกมะม่วงแบบเป็นการค้านั้น จะต้องศึกษาถึงสภาพความเหมาะสมต่าง ๆ หลายประการด้วยกัน ผู้ปลูกจะต้องเลือกพื้นที่ให้เหมาะสมด้วย เพื่อให้ประหยัดต้นทุนในการผลิต ตลอดจนสามารถผลิตผลมะม่วงที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดได้ เอกสารนี้ได้ให้ความรู้พื้นฐานกว้าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยีบางอย่างที่เป็นประโยชน์ ผู้ที่สนใจจะปลูกมะม่วง สามารถใช้เป็นคู่มือเบื้องต้นในการทำสวนมะม่วงได้เป็นอย่างดี
พันธุ์มะม่วงและการขยายพันธุ์
พันธุ์มะม่วง
มะม่วงมีมากมายหลายสิบพันธุ์ อาจแบ่งเป็นพวกได้ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ คือ 

(1) มะม่วงสำหรับรับประทานผลดิบ เช่น พิมเสนมัน แรด เขียวเสวย มันหนองแซง ฟ้าลั่น เป็นต้น
(2) มะม่วงสำหรับรับประทานผลสุก เช่น อกร่อง น้ำดอกไม้ หนังกลางวัน ทองดำ เป็นต้น
(3) มะม่วงที่ปลูกเพื่อการอุตสาหกรรมแปรรูปผลไม้
- มะม่วงสำหรับดอง เช่น มะม่วงแก้ว เป็นต้น
- มะม่วงสำหรับบรรจุกระป๋อง เช่น ทำน้ำคั้น มะม่วงแช่อิ่ม เช่น มะม่วงสามปี เป็นต้น
สำหรับมะม่วงพันธุ์ที่ตลาดต่างประเทศต้องการ ได้แก่ มะม่วงสุกพันธุ์หนังกลางวัน น้ำดอกไม้ ทองดำ และมะม่วงแก้ว ซึ่งตลาดต่างประเทศที่ประเทศไทยส่งไปจำหน่ายมากได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์และมาเลเซีย
  

การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์มะม่วงสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเพาะเมล็ด การตอน การติดตา และการทาบกิ่ง เป็นต้น
1. การเพาะเมล็ด
โดยทั่วไป การเพาะเมล็ดมีจุดประสงค์สองประการคือ เพื่อใช้ปลูกโดยตรง และเพื่อใช้เป็นต้นตอสำหรับการขยายพันธุ์แบบต่างๆ เช่น การติดตา การทาบกิ่ง เป็นต้น การเพาะเมล็ดเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน ข้อดีของการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดคือ ทำได้ง่าย ได้จำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว ต้นมะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ด ต้นจะใหญ่โตมีอายุยืนนาน เพราะมีระบบรากที่แข็งแรง ส่วนข้อเสียคือ ออกดอกออกผลช้ากว่าการขยายพันธุ์ด้วยการติดตา การตอน หรือการทาบกิ่ง และต้นมะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ดนั้น อาจกลายพันธุ์ ไม่ตรงตามพันธุ์เดิมก็ได้ ซึ่งอาจดีกว่าหรือเลวกว่าพันธุ์เดิม กลายเป็นพันธุ์ใหม่ไป
1.1 การเพาะเมล็ด การเพาะเมล็ดจำนวนไม่มากนักอาจจะเพาะในกระบะหรือในภาชนะต่างๆ เช่น หม้อดิน กระถาง กระบอกไม้ไผ่ และถุงพลาสติก เป็นต้น ส่วนการเพาะเมล็ดจำนวนมากๆ ควรเพาะในแปลงเพาะชำเสียก่อน แล้วจึงขุดไปปลูก หรือนำไปทาบกิ่งต่อไป
1.2 การเก็บเมล็ดที่จะนำมาเพาะ ควรคัดเลือกเก็บจากต้นแม่ที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่แคระแกร็นที่จะเก็บมาต้องแก่จัด หรือสุกปากตะกร้อควรมีขนาดและน้ำหนักเท่าๆเมล็ดที่จะนำมาเพาะเพื่อใช้เป็น ต้นตอ ควรเป็นเมล็ดของมะม่วงพันธุ์ที่แข็งแรงทานกะล่อนแก้วแดงร่องต้นมะม่วงพวกนี้ จะแข็งแรง ทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆดี

  1.3 การเตรียมเมล็ด แกะเมล็ดในมาเพาะ ให้ใช้มีดคมๆ ตัดปลายเมล็ดออกเล็กน้อย เพื่อให้เห็นช่องว่างภายใน รอยที่ตัดให้ค่อนไปทางด้านท้องของเมล็ด แล้วฉีกเปลือกของเมล็ดนอกออกเป็น 2 ซีก แล้วเอาเมล็ดที่อยู่ภายในซึ่งมีเยื่อบางๆ หุ้มอยู่ออกมาทำการเพาะ วิธีนี้จะช่วยให้เมล็ดโปร่ง อากาศ และน้ำเข้าไปในเมล็ดได้ง่าย เมล็ดงอกได้เร็ว และถ้ามีแรงงานพอ ให้แกะเอาเปลือกแข็งที่หุ้มเมล็ดออกทั้งหมด เอาแต่เนื้อข้างในไปเพาะ ก็จะทำให้งอกได้ดียิ่งขึ้นอีก

 เมล็ดที่เอาเนื้อออกแล้ว ให้รีบเพาะภายใน 1 สัปดาห์ ไม่ควรเก็บไว้นานเกินกว่า 1 เดือน จะเพาะไม่งอก หรือถ้างอกต้นก็จะไม่ค่อยแข็งแรง การทิ้งเมล็ดให้โดนแดดโดนลมจะทำให้ความงอกเสียไป เมื่อได้เมล็ดมาแล้ว ควรคัดเมล็ดโดยการนำเมล็ดไปแช่น้ำ เมล็ดที่จมน้ำจะเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์นำไปเพาะได้ดี ส่วนเมล็ดลอยน้ำให้คัดทิ้งไป เมล็ดที่ดีจะนำไปเพาะเลยก็ได้ แต่อาจจะงอกช้า
1.4 วิธีเพาะเมล็ด วัสดุที่ใช้ในการเพาะที่ดีควรใช้ ทรายผสมกับขี้เถ้าแกลบ ใส่อัตราส่วน 1 ต่อ 1 และใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 902 (ปุ๋ยเทศบาล) ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วใส่ในกระบะเพาะ รดน้ำให้ชุ่ม แล้วนำเมล็ดที่แกะออกมาแล้ว มาปักชำลงในกระบะเพาะที่เตรียมไว้

  การเพาะในภาชนะต่างๆ ให้ฝังเมล็ดลงไป 12 เมล็ด แล้วแต่ขนาดของภาชนะ ส่วนการเพาะในกระบะหรือในแปลงเพาะ ให้เพาะเป็นแถวๆ ห่างกัน 6-8 นิ้ว และแต่ละเมล็ดห่างกัน 6 นิ้ว การฝังเมล็ดควรให้ลึกประมาณ 2 นิ้ว โดยให้ด้านท้องของเมล็ดอยู่ด้านล่าง ตั้งส่วนท้องของเมล็ดเอียงเป็นมุมประมาณ 45 องศา ให้ส่วนหัวของเมล็ดขึ้นมาเหนือทรายในกระบะเพาะเล็กน้อย หรือประมาณ 1 ใน 4 ของควานยาวของเมล็ด จะทำให้เมล็ดงอกดี และต้นที่ได้ตั้งตรง เสร็จแล้วรดน้ำให้ชุ่ม และรดน้ำทุกวันถ้าฝนไม่ตก เมล็ดที่สมบูรณ์จะงอกภายใน 1 สัปดาห์ ถึงปะมาณ 20 วัน 
หลังจากงอกแล้วประมาณ 3 เดือน นำต้นกล้าที่งอกนั้นไปชำในถุงพลาสติกขนาดเล็ก ประมาณ 4x6 นิ้ว ใส่ดินที่มีใบไม้ผุมากๆ หรือขุยมะพร้าวผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ 902 หลังจากปักชำอีกประมาณ 3-4 เดือน ต้นกล้ามะม่วงจะมีขนาดประมาณเท่าแท่งดินสอดำ ซื่งเป็นขนาดที่พอเหมาะในการนำไปทาบกิ่งมะม่วงพันธุ์ดีต่อไป ส่วนการขุดต้นเพื่อนำไปปลูกในสวนนั้น ควรรอให้ต้นโตได้ขนาดเสียก่อนจึงขุด หรืออาจขุดมาปลูกไว้ในกระถางเสียก่อน เพื่อความสะดวกในการขนย้ายหรือรอเวลาปลูก

2. การทาบกิ่ง
 เป็นวิธีที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เพราะการเพาะเมล็ดจะทำให้มีการกลายพันธุ์ได้ง่าย จึงเป็นวิธีที่เหมาะที่สุดสำหรับมะม่วง การทาบกิ่งต้นที่ได้จะตรงตามพันธุ์เดิม และยังมีรากแก้วที่แข็งแรงเช่นเดียวกับการปลูกด้วยเมล็ด ต้นที่ได้ก็ตกผลเร็วกว่าการปลูกด้วยเมล็ด วิธีทาบกิ่งต้องเตรียมต้นตอเพื่อนำไปทาบกิ่งมะม่วงพันธุ์ดีที่ต้องการ 
  2.1 การเตรียมต้นตอ ต้นตอที่จะนำมาทาบกิ่งก็คือ ต้นกล้ามะม่วงที่ได้จากการเพาะเมล็ดดังที่กล่าวถึงแล้ว ซึ่ง ต่างกับผลไม้ชนิดอื่น คือ การที่จะทำให้เมล็ดมะม่วงงอกเร็วขึ้นต้องแกะเอาเปลือกซึ่งหุ้มเมล็ดออก แล้วจึงเอาเมล็ดที่อยู่ภายในมาเพาะ อายุของต้นกล้าที่จะใช้เป็นต้นตอควรมีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป หรือลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ครึ่งเซนติเมตร (สำหรับต้นกล้าที่งามๆ อายุเพียง 3 สัปดาห์ก็โตพอที่จะใช้เป็นต้นตอได้) และใบชุดแรกเปลี่ยนเป็นสีเขียวแก่แล้ว เมื่อต้องการจะทาบกิ่ง ก็ขุดแยกต้นตอออกจากกระบะเพาะ นำไปชำในถุงพลาสติกที่มีขนาดปากถุงกว้าง 4-5 นิ้ว ใส่ขุยมะพร้าวที่แช่น้ำเตรียมไว้ลงไปให้เต็มถุง ผูกปากถุงอย่าให้แน่นมาก ก็พร้อมที่จะนำไปทาบกิ่งได้

2.2 การเลือกกิ่งพันธุ์ กิ่งของต้นพันธุ์ดีที่ต้องการจะทาบนั้น ให้เลือกกิ่งที่มีขนาดไล่เลี่ยกับขนาดของต้นตอ จะใหญ่กว่าสักเล็กน้อยก็ได้ แต่อย่าให้ไหญ่กว่ามากนัก (ถ้าใหญ่กว่ามากให้ใช้ต้นตอหลายต้น) กิ่งพันธุ์ควรเป็นกิ่งที่กำลังเจริญเติบโต ไม่แคระแกรน กิ่งมีลักษณะกลม ไม่เป็นเหลี่ยม กิ่งพันธุ์ต้องไม่แก่กว่าต้นตอมากนัก และไม่มีโรคแมลงรบกวน ถ้าได้กิ่งที่ตั้งตรงจะดีมาก เพราะสะดวกในการทำงาน ส่วนกิ่งที่เอนก็ใช้ได้ แต่กิ่งที่ห้อยย้อยลงล่างไม่ควรใช้ทาบกิ่ง ถ้าจำเป็นต้องใช้ ให้ผูกกิ่งให้ตั้งตรงเสียก่อน
2.3 ฤดูกาล ฤดูที่เหมาะที่สุดคือฤดูฝน เพราะต้นไม้กำลังเจริญเติบโต จะทำให้กิ่งติดกันได้ดีและเร็วกว่า แต่ถ้าทั้งต้นตอและยอดพันธุ์มีความสมบูรณ์จะทาบกิ่งตอนไหนก็ได้
2.4 วิธีการทาบกิ่ง ใช้มีดที่สะอาดและคมเฉือนต้นตอออกประมาณ 1 ใน 3 ของต้นตอ โดยเฉือนขึ้นไปหายอดของลำต้น เฉือนให้ห่างจากปากถุงพลาสติกราว 2-3 นิ้ว ยอดของต้นตอจะถูกตัดขาดออกไป แล้วใช้มีดบากให้เป็นปากฉลาม ยาวประมาณ 2-3 นิ้ว
  ใช้มีดคมๆ เฉือนที่กิ่งพันธุ์ ลึกเข้าไปในเนื้อไม้เล็กน้อย รอยเฉือนยาวประมาณ 2 นิ้ว ไห้มีขนาดและลักษณะเช่นเดียวกับรอยเฉือนของต้นตอ นำรอยเฉือนทั้งสองมาประกบกันให้แนบสนิท โดยให้ปากฉลามสอดเข้าไปในรอยเฉือนพอดีกับกิ่งพันธุ์ดี ให้เปลือกของทั้งสองสัมผัสกันให้มากที่สุด แล้วใช้ผ้าพลาสติกขนาดกว้างประมาณ 1 นิ้ว ยาวประมาณ 12 นิ้ว พันและรัดรอยต่อทั้งสองให้แนบสนิท เพี่อกันน้ำซึมเข้าไปในรอยทาบ โดยพันจากล่างขื้นบน เสร็จแล้วใช้เชือกผูกถุงที่หุ้มโคนต้นตอให้ติดกับกิ่งพันธุ์ เพื่อไม่ให้ต้นตอแก่วง เมื่อทาบกิ่งครบ 30 วัน ให้ควั่นกิ่งพันธุ์ดี ลึกประมาณครึ่งกิ่ง ในระหว่างนี้ให้คอยดูความชื้นในถุงด้วย ถ้าเห็นว่าขุยมะพร้าวในถุงแห้งเกินไปให้รดน้ำ หลังจากนั้น ทิ้งไว้ประมาณ 45-60 วัน รอยทาบของกิ่งจะประสานกันสนิท ก็ตัดกิ่งพันธุ์ดีตรงใต้รอยทาบประมาณ 1 นิ้ว เพื่อนำไปชำ แล้วปลูกต่อไป

   
2.5 การชำต้นทาบกิ่ง เมื่อตัดต้นทาบกิ่งออกมาแล้ว ให้แกะเอาถุงพลาสติกที่หุ้มโคนอยู่ออก เอาไปชำในน้ำสักพักหนื่งก่อน แล้วจึงนำไปชำในดิน ต้นที่เห็นว่าขุยมะพร้าวแห้งมาก อาจชำไว้ในน้ำก่อนสัก 1-3 วัน จึงนำไปชำในดิน การชำน้ำทำได้ดังนี้ คือ นำต้นทาบกิ่งวางในกระป๋องหรือกาละมัง เติมน้ำลงไป สูงประมาณ 1 ใน 3 ของกระเปาะที่หุ้มรากอยู่ อย่าใส่น้ำจนท่วมกระเปาะ
 เมื่อชำน้ำเสร็จแล้วจึงนำไปชำในดิน ภาชนะที่สามารถใช้ชำได้แก่ กระถาง หรือถุงพลาสติก เป็นต้น โดยแกะขุยมะพร้าวออกบ้าง แล้วใส่ดินลงไป กดดินรอบๆ โคนต้นให้แน่นพอประมาณ แล้วปล่อยให้ต้นทาบกิ่งนี้เจริญต่อไปอีกประมาณ 1 เดือน ต้นก็จะตั้งตัวแข็งแรง นำไปปลูกหรือจำหน่ายได้

การปลูก
1. การเตรียมดิน 
  1.1 ในที่ลุ่มน้ำท่วมถึง เช่น ที่ราบริมฝั่งแม่น้ำต่างๆ ต้องยกร่องเสียก่อน เช่นเดียวกับการปลูกไม้ผลอย่างอื่น เพื่อไม่ให้น้ำท่วมถึงโคนต้นได้ ขนาดของร่องกว้างอย่างน้อย 6 เมตร ร่องน้ำกว้างอย่างน้อย 1.5 เมตร ส่วนความยาวของร่องนั้นแล้วแต่ขนาดของพื้นที่ หลังร่องยิ่งยกได้สูงมากยิ่งดี รากจะได้เจริญเติบโตอย่างเต็มที่ 
  เมื่อขุดยกร่องเสร็จแล้ว ให้ปรับปรุงดินให้ร่วนซุย โดยการขุดตากดิน ใส่ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมัก หรือถ้าดินเหนียวมากให้โรยปูนขาวเสียก่อนจึงลงมือขุด ปูนขาวจะช่วยแก้ความเป็นกรดของดิน และทำให้ดินไม่จับตัวกันแน่น เนื่องจากมะม่วงไม่ชอบดินที่จับตัวกันแน่น การปรับปรุงดินให้ร่วนชุยจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งของการปลูกแบบยกร่อง เพราะดินตามที่ราบลุ่มมักจะเป็นดินเหนียวจัด การขุดยกร่องใหม่ในปีแรก ดินอาจยังไม่ร่วนซุยดีพอ ให้ปลูกพืชผักอย่างอึ่นสัก 1-2 ปี จนเห็นว่าดินร่วนซุยดีพอแล้ว จึงลงมือปลูกมะม่วง ซึ่งจะได้ผลดีและไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ส่วนในที่ที่เป็นร่องสวนเก่า มีคันคูและเคยปลูกพืชอย่างอื่นจนดินรวนซุยอยู่แล้ว อาจต้องปรับปรุงดินอีกเพียงเล็กน้อยก็ลงมือปลูกได้เลย 
  1.2 ในที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง ที่ป่า หรือที่ที่เคยเป็นไร่เก่า ซึ่งไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วม การเตรียมที่ปลูก ถ้ามีไม้ไหญ่ขึ้นอยู่ ให้โค่นถางออกให้หมด เหลือไว้ตามริมๆ ไร่เพื่อใช้เป็นไม้กันลม แต่ถ้าบริเวณนั้นมีลมแรงอยู่เป็นประจำ ก็ไม่ควรโค่นไม้ใหญ่ออกจนหมด ให้เหลือไว้เป็นระยะๆ จะใช้กันลมได้ดี เมื่อปราบที่เรียบร้อยแล้ว ให้ปรับปรุงดิน โดยไถพรวนพลิกดินสัก 1-2 ครั้ง หรือจะกำจัดวัชพืช แล้วลงมือขุดหลุมปลูกเลยก็ได้ 
ถ้าดินที่ปลูกนั้นอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงดินอีก ส่วนที่เป็นทรายจัดมีอินทรีย์วัตถุน้อย ให้ปรับปรุงดินให้ดีเสียก่อนลงมือปลูก โดยการหาปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เพิ่มเติมลงในดิน วัสดุที่พอหาได้ในท้องถิ่น เช่น มูลสัตว์ต่างๆ กระดูกป่น กากถั่ว เปลือกถั่ว เศษใบไม้ ใบหญ้า ที่ผุพัง ล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อดินและพืชที่ปลูกทั้งสิ้น ควรหามาเพิ่มลงในดินให้มากๆ นอกจากนี้ การปรับปรุงดินอาจใช้ปุ๋ยพืชสดก็ได้ วิธีทำก็คือ ปลูกพืชพวกตระกูลถั่วต่างๆ หรือปอเทือง แล้วไถกลบลงในดินให้ผุพัง เป็นประโยชน์ต่อดิน การปรับปรุงดินด้วยวิธีต่างๆ ดังกล่าวจะช่วยให้ดินร่วนซุย การระบายน้ำ และอากาศของดินดี ทำให้ดินอุ้มน้ำดี เหมาะต่อการเจริญเติบโตของต้นมะม่วง
ส่วนการปลูกจำนวนเล็กน้อยตามบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย มีข้อที่ควรคำนึงอยู่ สองประการคือ ความลึกของระดับน้ำในดิน และความแน่นทึบของดิน ที่บางแห่งระดับน้ำในดินตื้น เมื่อขุดลงไปเพียงเล็กน้อย น้ำก็จะซึมเข้ามา เวลาจะปลูกมะม่วงควรยกระดับดินให้สูงขึ้น เพราะระดับน้ำจะเป็นตัวคอยบังคับการเจริญเติบโตของราก เมื่อรากเจริญไปถึงระดับน้ำแล้ว จะไม่สามารถเติบโตลึกลงไปได้อีก แต่จะแผ่ขยายออกด้านข้าง ทำให้รากของมะม่วงอยู่ตื้น ไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร เป็นผลให้ต้นมะม่วงโตช้า แคระแกร็นและโคนล้มง่าย
สำหรับเรื่องความแน่นทึบของดินนั้น ตามปกติ เวลาถมที่เพื่อปลูกสร้างอาคาร บ้านเรือน ก็มักจะถมให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้ดินทรุดในภายหลัง ดินที่แน่นทึบนี้ไม่เหมาะต่อการปลูกมะม่วง หรือไม้ยืนต้นต่างๆ เลย เพราะรากไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ การระบายน้ำและการถ่ายเทอากาศของดินไม่ดี ทำให้ต้นมะม่วงโตช้าและแคระแกร็น การแก้ไขทำได้โดย ขุดหลุมปลูกให้กว้างๆ และลึก ตากดินที่ขุดขึ้นมาจนแห้งสนิท ย่อยให้เป็นก้อนเล็กๆ แล้วผสมกับปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ให้มากๆ ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ลงไปในก้นหลุมด้วย เสร็จแล้วจึงกลบดินลงหลุม รดน้ำให้ยุบตัวดีเสียก่อนจึงลงมือปลูก
2. การขุดหลุมปลูก 
  2.1 การขุดหลุมปลูก ทั้งแบบปลูกบนร่องและปลูกในที่ดอน ควรปลูกให้เป็นแถวเป็นแนว เพื่อสะดวกในการดูแลรักษาและการปฎิบัติงาน ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างยาว และลึก 50 เซนติเมตร - 1 เมตร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน ถ้าดินดี ร่วนซุย มีอินทรีย์วัตถุมาก ก็ขุดหลุมขนาดเล็กได้ ส่วนดินที่ไม่ค่อยดี ให้ขุดหลุมขนาดใหญ่ เพื่อจะได้ปรับปรุงดินในหลุมปลูกให้ดีขึ้น ดินที่ขุดขึ้นมาจากหลุมนั้น ให้แยกเป็นสองกอง คือ ดินชั้นบนแยกไว้กองหนึ่ง ดินชั้นล่างอีกกองหนึ่ง ตากดินที่ขุดขึ้นมาสัก 15 - 20 วัน แล้วผสมดินทั้งสองกองด้วยปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ก้นหลุมก็ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก รองพื้นด้วย แล้วจึงกลบดินลงไปในหลุมตามเดิม โดยเอาดินชั้นบนลงไว้ก้นหลุม และดินชั้นล่างกลบทับลงไปที่หลัง ดินที่กลบลงไปจะสูงกว่าปากหลุม ควรปล่อยทิ้งไว้ให้ดินยุบตัวดีเสียก่อน หรือรดน้ำให้ดินยุบตัวดีเสียก่อน จึงลงมือปลูก 
2.2 ระยะปลูกระยะปลูกมีหลายระยะด้วยกัน แล้วแต่วัตถุประสงค์ในการปลูก ได้แก่

   
1) ระยะปลูกแบบถี่ หรือการปลูกระยะชิด เช่น 2.5 X 2.5 เมตร, 4 X 4 เมตร หรือมากน้อยกว่านี้ตามความเหมาะสม ซึ่งจะได้มะม่วงประมาณ 256 ต้นต่อไร่ การปลูกระยะชิดนี้ จำเป็นจะต้องดูแลตัดแต่งกิ่งอยู่เสมอด้วย
2) ระยะปลูกแบบห่าง เช่น 8 X 8 เมตร, 10 X 10 เมตร หรือมากน้อยกว่านี้ตามความเหมาะสม แนะนำให้ปลูกระยะ 8 X 8 เมตร หรืออย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 6 X 6 เมตร สำหรับมะม่วงที่ขยายพันธุ์ด้วยการทาบกิ่ง
3. วิธีปลูก
การปลูกมะม่วงไม่ว่าจะปลูกด้วยกิ่งตอน กิ่งทาบ หรือต้นที่เพาะเมล็ดก็ตาม ต้องทำด้วยความระมัดระวัง อย่าให้รากขาดมาก เพราะจะทำให้ต้นชะงักการเติบโตหรือตายได้ ต้นมะม่วงที่ปลูกไว้ในภาชนะนานๆ ดินจะจับตัวกันแข็ง และรากก็พันกันไปมา เวลานำออกจากภาชนะแล้วให้บิแยกดินก้นภาชนะให้กระจายออกจากกันบ้าง ส่วนรากที่ม้วนไปมาให้พยายามคลี่ออกเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้เจริญเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็ว
3.1 การปลูกด้วยกิ่งทาบ กิ่งติดตา ให้ปลูกลึกระดับเดียวกับดินในภาชนะปลูกเดิม หรือสูงกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ต้องไม่มิดรอยที่ติดตาหรือต่อกิ่งไว้ เพื่อจะได้เห็นว่ากิ่งที่แตกออกมานั้นแตกออกมาจากกิ่งพันธุ์หรือจากต้นตอ ถ้าเป็นกิ่งที่แตกจากต้นตอให้ตัดทิ้งไป
3.2 การปลูกด้วยกิ่งตอน ให้ปลูกลึกระดับเดียวกับดินในภาชนะเดิม หรือให้เหลือจุกมะพร้าวที่ใช้ในการตอนโผล่อยูู่่เล็กน้อย ไม่ควรกลบดินจนมิดจุกมะพร้าว เพราะจะทำให้เน่าได้ง่าย 
  เมื่อปลูกเสร็จ ให้ปักไม้เป็นหลักผูกต้นกันลมโยก แล้วรดน้ำให้ชุ่ม ต้นที่นำมาปลูกถ้าเห็นว่ายังตั้งตัวไม่ดี คือแสดงอาการเหี่ยวเฉาตอนแดดจัด ควรหาทางมะพร้าวมาปักบังแดดให้บ้าง ก็จะช่วยให้ต้นตั้งตัวได้เร็วขึ้น ในระยะที่ต้นยังเล็กอยู่นี้ ให้หมั่นรดน้ำอยู่เสมอ อย่าให้ดินแห้งได้ การปลูกในฤดูฝนจึงเหมาะที่สุด เพราะจะประหยัดเรื่องการให้น้ำได้มาก และต้นจะตั้งตัวได้เร็ว โดยเฉพาะการปลูกในที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ไม่มีน้ำที่จะให้แก่ต้นมะม่วงได้ทั้งปี ให้ปลูกในระยะต้นฤดูฝน ช่วงแรกๆ อาจต้องรดน้ำให้บ้าง เมื่อฝนเริ่มตกหนักแล้วก็ไม่ต้องให้น้ำอีก ต้นจะสามารถตั้งตัวได้เต็มที่ก่อนจะหมดฝน และสามารถจะผ่านฤดูแล้งได้โดยไม่ตาย ส่วนที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ จะปลูกตอนไหนก็ได้แล้วแต่ความสะดวก 
  3.3 การปลูกพืชแชม ต้นมะม่วงที่ปลูกด้วยกิ่งตอน กิ่งติดตา หรือต่อกิ่ง ทาบกิ่ง จะใช้เวลาประมาณ 3 - 4 ปี จึงจะให้ผล ส่วนการปลูกด้วยต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ด จะใช้เวลาประมาณ 4 - 6 ปีขึ้นไป ในระหว่างที่ต้นยังไม่ไห้ผลนี้ ถ้าปลูกแบบระยะต้นห่างๆ กันจะมีที่ว่างเหลืออยู่มาก ควรปลูกพืชอย่างอื่นที่มีอายุสั้นๆ หรือพืชที่ค่อนข้างถาวรแซมเป็นการหารายได้ไปพลางๆ ก่อน ไม่ควรปล่อยให้ดินว่างเปล่า นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อะไรแล้ว ยังต้องคอยดายหญ้าอยู่เสมออีกด้วย พืชที่ควรปลูกแซมระหว่างที่ต้นมะม่วงยังเล็กอยู่คือ พวกพืชตระกูลถั่วต่างๆ ซึ่งเป็นพืชช่วยบำรุงดิน เมื่อเก็บถั่วแล้ว ขุดสับลงดิน เพื่อเป็นประโยชน์แก่ดินและพืชต่อไป ส่วนพืชที่ไม่ควรปลูกแซมคือ ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มันสำปะหลัง เป็นต้น เพราะเป็นพืชที่ทำให้ดินเสื่อมความอุดมสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว 
การปลูกพืชแซมอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งนิยมกันในการปลูกไม้ผลทั่วไปคือ ปลูกกล้วยลงไปก่อน เมื่อกล้วยโตพอสมควรจึงปลูกมะม่วงตามลงไป ต้นกล้วยจะช่วยเป็นร่มเงาไม่ให้ต้นมะม่วงโดนแดดจัดเกินไป และทำให้สวนชุ่มชื้นอยู่เสมอ จะช่วยให้ต้นมะม่วงโตเร็ว และประหยัดการให้น้ำด้วย จนเมื่อเห็นว่า ต้นมะม่วงโตมากแล้ว และโดนต้นกล้วยบังร่มเงา ก็ทยอยขุดต้นกล้วยออก โดยขุดต้นกล้วยที่อยู่ใกล้ๆ ต้นมะม่วงออกก่อน จนกว่าต้นกล้วยจะหมดไป และต้นมะม่วงโตขี้นมาแทนที่ ต้นกล้วยที่ตัดหรือขุดรื้อทิ้งนั้น ให้ผ่าเป็นสองซีก ใช้เป็นวัตถุคลุมดินได้ดี ป้องกันไม่ให้หญ้าขึ้น และช่วยรักษาความชื้นของดิน การปลูกต้นกล้วยแซมนี้ มีข้อเสียตรงที่ต้องเสียแรงงานมากในการขุดรื้อต้นกล้วยออก
4. ฤดูปลูก
มะม่วงควรปลูกตอนต้นฤดูฝน หรือในประมาณเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม เพื่อให้มะม่วงตั้งตัวได้เร็วขึ้น เนื่องจากในฤดูฝนอากาศมีความชุ่มชื้นดี ทำให้มะม่วงตั้งตัวได้เร็ว และเป็นการสะดวกไม่ต้องรดน้ำในระยะแรก
                                 
                                                  

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558

ปอกะบิด สรรพคุณและประโยชน์ของปอกะบิด ปอบิด

ปอกะบิด สรรพคุณและประโยชน์ของปอกะบิด ปอบิด 

ใครที่อยู่ในวงการสมุนไพร หรือสนใจเรื่องสมุนไพรรักษาโรค คงจะได้ยินชื่อ ปอบิด หรือ ปอกะบิด มาบ้างแล้ว ด้วยสรรพคุณที่บอกต่อๆ กันมาว่า ช่วยรักษาโรคเบาหวานได้ จึงมีหลายๆ เสาะหาปอบิดมาบริโภคเพื่อช่วยรักษาโรค
       
       แต่ใครที่ยังไม่เคยได้ยินชื่อปอบิด “108 เคล็ดกิน” ก็ขอแนะนำให้รู้จักข้อมูลเป็นพื้นฐานกันก่อน
       
       “ปอบิด” หรือ “ปอกะบิด” เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กที่พบได้ในประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สรรพคุณของปอบิดตามตำราแพทย์แผนไทย ส่วนใหญ่จะใช้เราและเปลือกลำต้น โดยรากใช้ต้มน้ำกิน ช่วยบำรุงธาตุ แก้ท้องร่วง ขับเสมหะ แก้ปวดเคล็ดบวม ช่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิต ส่วนเปลือกลำต้นนำมาต้มเป็นยาแก้โรคบิด ท้องร่วง และเป็นยาบำรุงธาตุ
       
       นอกจากนี้ก็ยังใช้ฝัก นำมาแก้บิด แก้ปวดท้อง แก้โรคลำไส้ในเด็ก แก่นลำต้น ช่วยบำรุงน้ำเหลือง บำรุงกำลัง แก้เสมหะ ส่วนผลนำมาต้มกินแก้ท้องอืด แก้ปวดเคล็ดบวม กระเพาะอาหารเป็นแผล
       
       สำหรับสรรพคุณที่โด่งดังในเรื่องช่วยรักษาโรคเบาหวานนั้น มีการวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ปอบิด ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ใกล้เคียงกับยาแผนปัจจุบัน แต่ยังไม่สามารถทดแทนยารักษาเบาหวานได้จริง และผู้ที่จะใช้ต้องตรวจภาวะการทำงานของตับไตอย่างสม่ำเสมอทุก 3 เดือน และห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติ หรือคนในครอบครัวมีประวัติโรคตับ หรือโรคไต
       
       ส่วนผลการวิจัยเรื่องการนำปอบิดมารักษาโรคเบาหวานนั้น พบว่า สามารถลดระดับน้ำตาลในหนูทดลองได้ แต่มีผลข้างเคียงคือการทำลายตับหนู และเกิดการกระตุ้นหัวใจในกบ
       
       ทั้งนี้ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ออกมาให้คำแนะนำว่า ผู้ป่วยเบาหวานมักจะมีตับอ่อน ไต และหัวใจไม่แข็งแรง และเสี่ยงเกิดโรคแทรกซ้อนได้หากดูแลสุขภาพไม่ดี สำหรับหลักการใช้สมุนไพรเป็นยา ไม่ควรกินเกิน 7 วัน เพราะปริมาณสารเคมีจากสมุนไพรควบคุมได้ยาก
       
       หากจะใช้สมุนไพรในการรักษาโรค ก็ไม่ควรกินต่อเนื่อง สรกินสลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ หรืออาจเลือกกินอาหารเป็นยาแทน เพราะปริมาณความเข้มข้นของสมุนไพรที่ได้จะมีความเข้มข้นต่างกัน โดยอาจจะกินเป็นผักแกล้มกับน้ำพริก หรือคั้นน้ำกิน เช่น ใบกะเพรา ใบบัวบก ก็มีฤทธิ์ลดน้ำตาลได้เช่นเดียวกัน


ปอกะบิด สุดยอดสมุนไพรไทย เป็นสมุนไพรไทยที่1 ปี ออกเพียงครั้งเดียว ผ่านขั้นตอนการตากแห้งแล้วนำไปอมฆ่าเชื้อ สะอาดได้มาตรฐาน พร้อมนำไปต้มดื่ม รสชาติเหมือนน้ำชา ดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น
สรรพคุณ
บรรเทาโรคเบาหวาน ลดระดับน้ำตาล ลดความดัน ลดอาการเหน็บชา ชาปลายมือปบายเท้า ภูมิแพ้ ลดไขมันในเลือด
วิธีต้มปอกะบิด : ปอกะบิด 15-20 ฝัก ต่อน้ำ 2 ลิตร ใบเตย 1 ใบ ต้มได้ 2 ครั้ง โดยทำการต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่ปอกะบิดลงไปรอจนน้ำมีสีเหลืองน่าทาน สามารถทานได้ทั้งร้อนและเย็น ดื่มง่าย มีกลิ่นหอม 

ผักหวาน สรรพคุณและประโยชน์ของผักหวานบ้าน

ผักหวาน สรรพคุณและประโยชน์ของผักหวานบ้าน

ผักหวานบ้าน

ผักหวานบ้าน ชื่อสามัญ Star gooseberryผักหวานบ้าน ชื่อวิทยาศาสตร์ Sauropus androgynus (Linn.) Merr. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Sauropus albicans Bl.) จัดอยู่ในวงศ์ EUPHORBIACEAE[1],[2] ผักหวานบ้าน ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ อีกว่า ผักหวาน (ทั่วไป), มะยมป่า (ประจวบคีรีขันธ์), ผักหวานใต้ใบ(สตูล), ก้านตง จ๊าผักหวาน ใต้ใบใหญ่ ผักหลน (ภาคเหนือ), นานาเซียม (มลายู-สตูล), ตาเชเค๊าะ โถหลุ่ยกะนีเต๊าะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) เป็นต้น

ลักษณะของผักหวานบ้าน

  • ต้นผักหวานบ้าน จัดเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง มีความสูงของต้นประมาณ 0.5-3เมตร ลำต้นแข็งแตกกิ่งก้านระนาบไปกับพื้นหรือเกือบปรกดิน ลำต้นอ่อน กลม หรือเป็นเหลี่ยม เปลือกต้นขรุขระเป็นสีน้ำตาล ส่วนกิ่งอ่อนเป็นสีเขียวเข้มผิวเรียบ กิ่งเรียวงอเล็กน้อยตามข้อ ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด และการปักชำกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในที่ลุ่มต่ำที่มีความชื้นพอเหมาะ ดินร่วนชุ่มชื้นและระบายน้ำได้ดี สามารถพบได้ตามป่าดิบแลง ป่าละเมาะ ป่าดิบชื้น ที่โล่งแจ้ง ตามเรือกสวน หรือตามที่รกร้างทั่วไป

การปลูกมะนาว แบบลงดิน

การปลูกมะนาว แบบลงดิน

มะนาว สวนมะนาวแบบลงวงบ่อซีเมนต์

มะนาว สวนมะนาวแบบลงวงบ่อซีเมนต์
จากความชอบส่วนตัวเรื่องการทำการเกษตร โดยเฉพาะสวนมะนาว ซึ่งช่วงหน้าแล้งราคาแพงมากๆจึงได้ทำการศึกษาข้อมูล จากทั้งตำรา สอบถามผู้รู้ เดินทางไปดูสวนมะนาวพูดคุยกับเจ้าของสวนต่างๆ ทั้งในเขตจังพิจิตรเอง(บ้านท่าบัว อ.โพทะเล) และจังหวัดใกล้เคียงเช่น กำแพงเพชร สุโขทัย อีกทั้งใช้ช่องทางอินเตอร์เน็ต ในการสืบค้นข้อมูลเรื่องการทำสวนมะนาว โดยเน้นไปที่พันธุ์ที่จะปลูกต้องเป็นสายพันธุ์ที่ตลาดต้องการ และปัญหาของมะนาว เมื่อได้ข้อมูลมาระดับหนึ่งแล้ว ผมจึงเริ่มลงมือทำสวนมะนาว สวนที่ 1 ขึ้นมาโดยการปลูกในวงท่อซีเมนต์ พร้อมทั้งเก็บข้อมูลต่างๆมาเผยแพร่ให้เพื่อนๆที่สนใจเรื่องการปลูกมะนาวในวงท่อซีเมนต์มาศึกษาเพื่อนำไปใช้กับสวนของตัวเอง

ผมเริ่มจากได้มีที่ 1 ไร่ แต่เป็นสระน้ำเสียราวครึ่งหนึ่ง

จากนั้นก็เริ่มทำการถมที่และปรับให้เสมอ เพราะของเดิมเป็นป่ารกและร่องน้ำไหล

เมื่อปรับสภาพภูมิทัศน์แล้ว ก็สั่งวงท่อมาวางขนาดกว้างยาว 3x3 เมตร

วงที่ที่สั่งมานั้นมีความสวยงามดูดีงานเขาละเอียดมาก จากร้าน ส.ประดิษฐ์ จังหวัดพิจิตร ราคา วงท่อ 90 บาท ฝา 80 บาท

นำกากถั่วเขียวเข้ามในพื้นที่

ใช้รถไถขูดหน้าดินให้เป็นกองเพื่อเตรียมส่วนผลม

ได้ทำการเคลื่อนย้ายมูลวัวเข้ามาในพื้นที่ โดยซื้อจากหมู่บ้าน เจ็ดหาบ ตำบลเนินปอ อำเภอสมง่าม จังหวัดพิจิตร ในราคากระสอบละ 15 บาท

ทำการจ้างคนงานผสมส่วนผสมเข้าด้วยกันโดยใช้หน้าดิน 3 ส่วน มูลวัวค้างปี 2 ส่วน และกากถั่วเขียว 1 ส่วน โดยทำเองด้วยและจ้างคนงานด้วยโดยจ้าง วงละ 30 บาท

การใส่ดินในวงผมจะใส่จนพูนเลยครับตามตำราเค้าว่าพอเป็นหลังเต่า แต่ผมใส่เป็นภูเขาเลย แต่ก่อนปลูกก็จะเอาออกให้พอเป็นหลังเต่าครับเพราะช่วงยังไม่ปลูกจะรดน้ำก่อนกันยุบตัว (แต่ไม่ลืมที่จะเหยียบตรงขอบๅให้แน่น)

จากนั้นพักเรื่องสถานที่ไว้ก่อน อืมลืมบอกไปครับว่าเริ่มจากถมที่ จนเตรียมดินเสร็จนั้นใช้เวลาไม่นานครับคือ ถมที่ วันที่ 22 ธันวาคม 2552 และวางวงที่และใส่ดิน เสร็จสิ้นวันปีใหม่พอดีครับ
วันที่ 7 มกราคม 2553 ผมมีโอกาส เดินทางไปจังหวัดชุมพรซึ่งก็เป็นบ้านเดิมครับเพื่อเยื่ยม พ่อแม่และญาติๆ ขากลับจึงได้แวะใช้บริการกิ่งมะนาวแป้น รำไพจาก สมิงบ้านไร่ โดยคุณเอนกครับ แต่ไม่มีเวลาได้ชมสวนมากนักเนื่องจากต้องรีบเดินทางกลับมาพิจิตรอีก

วันที่ 10 มกราคม 2553 หลังจากกลับมาถึงพิจิตร ก็รีบทำการเอากิ่งตอนที่ได้มา ลงถุงดำโดยใช้มูลหมูผสมกับขุยมะพร้าว (พ่อผมให้มาจากชุมพร เนื่องจากพ่อใช้เพาะเมล็ดปาล์ม)

จากนั้นช่วงที่รอมะนาวตั้งตัวในถุงดำ ก็มาคิดเรื่องระบบน้ำก็สรุปได้ว่าจะใช้มินิสปริงเกอร์โดยซื้ออุปกรณ์ดังนี้
ท่อพีวีซีขาด หนึ่งนิวครึ่ง
ท่อพีอี ความยาว 200 เมตร
หัวสปริงเกอร์ + ขา
สายไมโคร pe
ข้อต่อต่างๆ
ปั๊มขนาด 1 แรงม้า
วงท่อขนาด 100 cm 4 วง และอุปกรณ์อื่นๆที่เกี่ยวข้อง
ราคาที่ซื้อไปทั้งหมด 4800 บาท ครับ

และแล้วก็เริ่มทำแท๊งพักน้ำ ใช้วงท่อขาด 100 cm

ทำแท่นสำหรับวางปั๊มน้ำ

ทำการวางท่อต่างๆ พร้อมทั้งปักเสาไม้ไผ่เพื่อทำรั้วรอบๆสวนมะนาวของผม

เมื่อวางระบบทุกอย่างเรียบร้อย โดยทางออกของน้ำจากปั๊มจะทำท่อคืนกลับลงแท๊งเพื่อกรณีน้ำมีแรงดันมากเกินไป สรุปคือสามารถเริ่งและเบาได้

ทำรั้วและระบบน้ำเสร็แล้วครับ

แต่แล้วระบบน้ำก็เกิดปัญหาจนได้เมื่อเริ่มทำการทดลองระบบน้ำครั้งแรก โดย เมื่อเปิดปั๊มแรงดันมันมากเกินไปทำให้น้ำกระจายออกนอกวงหมด แม้จะเปิดน้ำย้อนลดแรงดันแล้วก็ตาม สุดท้ายมาลงตัวที่ การเอาปั๊มออกโดยไม่ต้องใช้ปั๊ม

ผลจากการไม่ใช้ปั๊มช่วยดัน ทำให้การให้น้ำเป็นไปอย่างพอดีเหมาะสม โดยให้ครั้งเดียวทั้งสวนเลยไม่ต้องแบ่งโซนให้ จากภาพถ่ายนี้ถ่าย จากวงท่อสุดท้ายหรือวงที่ไกลที่สุดจากแท๊งน้ำ

เมื่อทุกอย่างลงตัว ก็เริ่มปรับแต่งดินจากทรงภูเขาให้เป็นทรงหลังเต่า ครับเพื่อรอการปลูก และมุงหลังคาให้นิดหน่อย

ทำการเคลื่อนย้ายกิ่งมะนาวที่ลงถุงดำไว้เข้ามาในพื้นที่เพื่อปลูก

ขุดหลุมกลางวงท่อให้พอดีขนาดถุงดำ

จากนั้นทำการปลูกๆๆๆๆๆๆๆ จนได้หน้าตาแบบนี้ครับ

เมื่อปลูกเสร็จใช้ตอกไม้ไผ่มัดลำต้นกับไม้ที่ปักไว้กันมันโยกเยก

และเอากากถั่วเขียวที่เหลือมาคลุมดินบนวงท่อเพื่อรักษาความชื้นครับ

สุดท้ายผมก็มีสวนมะนาวแบบในวงท่อซีเมนต์หน้าตาแบบนี้

ภาพบรรยากาศ หลังจากปลูกมะนาวในวงท่อได้ 12 วัน

ทำการพ่นยาฆ่าแมลง หนอนชอนใบ ซักหน่อย ด้วยอะบาแมกติน

หน้าตาของเครื่องพ่นยา

จากนั้นทำการพ่นไปรอบๆต้น ทั้งบนล่างทั่วๆ

ตุ่มตาชุดที่สองเริ่มแตกออกมาให้เห็น หลังจากชุดแรกออกใบและเริ่มแก่ไปก่อนหน้านี้แล้ว

หัวใจของการให้น้ำอยู่ที่นี่เดิมมีปั๊มดันน้ำ แต่ต้องถอดออกเพราะมันแรงเกินไป ใช้แรงดันแบบนี้ กำลังพอดีเลยครับ

ภาพถ่ายมุมสูง

กำลังเจริญเติบโต

หลังจากปลูกได้ 40 วันพอดี

หลังจากปลูกได้ 40 วันพอดี

เกิดความผิดพลาดอย่างแรงเลยครับ ใสปุ๋ยยูเรียให้มะนาววงท่อ แต่บางต้นชิดกับต้นมะนาวเกินไป เลยเกิดอาการเหี่ยวเฉา บางต้นก็ใหม้เป็นสีน้ำตาลเลยครับ โดนไป 26 ต้น ต้น เห็นทีแรกตกใจแทบสิ้นสติ แต่พอตั้งสติได้รีบเอาน้ำราดรดอย่างแรงและมากๆ จากนั้นอีก 2 ชั่วโมงต่อมาใบเริ่มชูตั้งขึ้น แต่มีอาการน่าเป็นห่วงอยู่ 3 ต้นกำลังดูแลอาการครับ

ต้นนี้ใหม้เลยครับ

สุดท้ายก็เป็นเช่นนี้ครับ ตายรวม 15 ต้นครับ

แต่ก็ไม่ท้อแท้ครับ เอากิ่พันธุ์มาใหม่ลงถุงดำไว้รอปลูกซ่อมครับ

เอาละครับมาดูบรรยากาศทั่วๆไปครับหลังจากปลูกได้ 2 เดือนกว่าๆ

ยอดอ่อนชุดที่สาม

หลังจากปลูกได้ 4 เดือนครึ่ง เริ่มทำคอกให้มะนาวแล้ว

อีกภาพ

อีกภาพ

ต้นนี้เป็นหนึ่งใน 15 ต้นที่ปลูกทดแทนชุดเก่าที่น็อคปุ๋ย ยูเรีย ครับ

กลุ่มเกษตรกร เข้ามาเยี่ยมดูงาน

ดูไกล้ๆครับมะนาวของผม 5เดือนครึ่ง

อีกมุม

บางต้นที่เป็นแคงเกอร์กำลังดีขึ้นครับ

อายุ 6 เดือนแล้วครับ

เริ่มออกดอกบ้างนิดหน่อย

แต่เด็ดทิ้งเพราะต้นอายุยังไม่เหมาะที่จะให้ติดผลตอนนี้

ในการใช้เชือกผูกคอกมะนาวนั้น ตอนแรกผมใช้เชือกฝางผูกปรากฏว่าไม่นานก็เปื่อยยุ่ย ต่อมาเปลี่ยนเป็นยางใน รถมอเตอร์ไซต์ตัดออกเป็นเส้นๆนำมาผูกใหม่ ปรากฏว่าเริ่มขาดแล้วครับ อายุพอๆกับเชือกฟาง ทั้งนี้ทั้งนั้นเกิดจาก การที่มันต้องโดนแดดและโดนฝนน่ะครับ วันนี้เลยไปซื้อยางยืดสำหรับใช้ทำขอบกางเกงมาผูกมัดแทนครับ คิดว่า น่าจะมีอายุที่ยืนนานขึ้นครับ หาซื้อได้จากร้านขายผ้าทั่วๆไปครับ ม้วนนึงยาว 30 เมตร มีหลายราคาแล้วแต่ขนาด หน้ากว้างครับ

อายุ 8 เดือนแล้ว

ต่อมาอายุ 11 เดือนแล้ว

สวนมะนาวในปัจจุบันนี้

ออกลูกดกๆเลยครับ

เก็บลูก

ตอนกิ่งขยายพันธ์และจำหน่าย